การสร้างแบรนด์สินค้า โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม การได้รับเครื่องหมาย อย. (FDA Approval) ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ไม่เพียงแค่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือและความสำเร็จให้กับธุรกิจ สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ การทำความเข้าใจว่าสินค้าประเภทใดบ้างที่ต้องมี อย. และกระบวนการขออนุญาตนั้นซับซ้อนแค่ไหน คือก้าวแรกที่สำคัญ การละเลยขั้นตอนนี้อาจนำมาซึ่งบทลงโทษ ความเสียหายต่อชื่อเสียง และการปิดกั้นโอกาสทางธุรกิจ บทความนี้จะเจาะลึกทุกเรื่องที่ควรรู้ เพื่อให้คุณสร้างแบรนด์ได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน
ทำไม อย. จึงสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ของคุณ?
การมี อย. ไม่ได้เป็นเพียงภาระทางกฎหมาย แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้าง “คุณค่า” ให้กับแบรนด์:
- ความปลอดภัยของผู้บริโภค: อย. รับรองว่าผลิตภัณฑ์ผ่านการตรวจสอบส่วนผสม สูตรการผลิต มาตรฐานโรงงาน และฉลาก เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยต่อการใช้งาน การแสดงเครื่องหมาย อย. จึงสร้างความอุ่นใจและความไว้วางใจในการเลือกซื้อ
- ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และแบรนด์: ในตลาดแข่งขันสูง อย. เป็นเครื่องการันตีจากภาครัฐถึงคุณภาพและมาตรฐาน ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย
- การปฏิบัติตามกฎหมายและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง: การจำหน่ายสินค้าที่ต้องมี อย. โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ซึ่งอาจนำมาซึ่งบทลงโทษรุนแรง เช่น ค่าปรับ การถูกยึดสินค้า หรือโทษจำคุก การมี อย. จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายและช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ประเภทสินค้าที่ต้องมี อย. ในประเทศไทย : รู้จักความแตกต่าง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีบทบาทกำกับดูแลผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท การเข้าใจว่าสินค้าของคุณจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดจะช่วยให้เตรียมตัวสำหรับการขออนุญาตได้อย่างถูกต้อง:
1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplements)

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จัดอยู่ในหมวดหมู่อาหารควบคุมเฉพาะ มีจุดประสงค์เพื่อเสริมอาหาร บำรุงสุขภาพ หรือลดความเสี่ยงการเกิดโรค แต่ไม่ถือเป็นยา มักอยู่ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง หรือของเหลว กระบวนการขอ อย. สำหรับอาหารเสริมค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากต้องตรวจสอบส่วนประกอบ สูตรการผลิต ปริมาณสารสำคัญ ข้อความบนฉลาก และคำกล่าวอ้างทางสุขภาพ (Claim) อย่างละเอียด โดยคำกล่าวอ้างต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และโรงงานผลิตต้องได้รับมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) สิ่งที่ต้องระวังคือการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง หรืออ้างว่าเป็นยารักษาโรค ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
2. เครื่องสำอาง (Cosmetics)

เครื่องสำอางคือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับส่วนต่างๆ ภายนอกของร่างกาย เพื่อทำความสะอาด ตกแต่ง เพิ่มความสวยงาม หรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค เช่น ครีม โลชั่น สบู่ แชมพู ลิปสติก หรือน้ำหอม สำหรับเครื่องสำอางจะใช้ระบบการ “จดแจ้ง” (Notification) ผู้ประกอบการต้องแจ้งรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ส่วนผสม และสถานที่ผลิตหรือนำเข้าให้ อย. ทราบก่อนจำหน่าย เพื่อให้ อย. ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นและสามารถติดตามย้อนหลังได้ สิ่งที่ต้องระวังคือห้ามมีสารห้ามใช้ หรือสารควบคุมพิเศษที่เกินปริมาณที่กำหนด และห้ามกล่าวอ้างสรรพคุณทางการแพทย์
3. อาหารทั่วไป (Food Products)

อาหารทั่วไป หมายถึงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคหรือกึ่งสำเร็จรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มบรรจุขวด อาหารกระป๋อง หรือผลิตภัณฑ์นม มีความหลากหลายมากและแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ที่มีระดับความเสี่ยงต่างกัน กระบวนการขอ อย. ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร บางประเภทต้อง “ขออนุญาตผลิต/นำเข้า” และ “ขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร” หรือ “แจ้งรายละเอียดอาหาร” แล้วแต่ความเสี่ยง โรงงานผลิตต้องผ่านมาตรฐาน GMP หรือ HACCP สิ่งที่ต้องระวังคือส่วนผสม สารปรุงแต่ง และสารกันบูดต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และไม่เกินปริมาณที่อนุญาต
4. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร (Herbal Medicines)

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรคือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพืช สัตว์ จุลชีพ หรือแร่ธาตุ ที่ใช้เพื่อการส่งเสริมสุขภาพ บำบัด รักษา หรือป้องกันโรค โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ หรือมีองค์ความรู้ตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กระบวนการขอ อย. มีความเข้มงวดสูง คล้ายคลึงกับการขอทะเบียนยาแผนปัจจุบัน ผู้ประกอบการต้องยื่นขอ “ขึ้นทะเบียนตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร” โดยต้องมีข้อมูลทางเภสัชวิทยา พิษวิทยา ประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่ดี (GMP) สิ่งที่ต้องระวังคือการอ้างสรรพคุณต้องเป็นไปตามที่ อย. อนุญาตเท่านั้น ห้ามเกินจริงหรือผิดจากข้อเท็จจริง
5. เครื่องมือแพทย์ (Medical Devices)

เครื่องมือแพทย์คือเครื่องมือ เครื่องใช้ ผลิตภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ เช่น การวินิจฉัย การป้องกัน การเฝ้าระวัง การรักษา การบรรเทาอาการของโรค หรือการแก้ไขความพิการ โดยไม่ได้ออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ตัวอย่างเช่น ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย เครื่องวัดความดัน กระบวนการขอ อย. แบ่งตามระดับความเสี่ยง (ต่ำ ปานกลาง สูง) ตั้งแต่การ “แจ้งรายการละเอียด” “จดทะเบียนสถานประกอบการ” ไปจนถึง “การขออนุญาตผลิต/นำเข้า” และ “ขึ้นทะเบียน” ต้องแสดงข้อมูลด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
สรุปความแตกต่างของกระบวนการขอ อย. โดยประมาณ
| ประเภทสินค้า | ลักษณะการขออนุญาตหลัก | ระดับความเข้มงวด | ตัวอย่างสินค้า |
|---|---|---|---|
| ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร | ขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร | สูง (ตรวจสอบสูตร, ส่วนประกอบ, Claim) | วิตามินซีเม็ด, คอลลาเจนผง |
| เครื่องสำอาง | จดแจ้งเครื่องสำอาง | ปานกลาง (แจ้งส่วนผสม, ติดตามได้) | ครีมบำรุงผิว, สบู่, ลิปสติก |
| อาหารทั่วไป | ขึ้นทะเบียน/แจ้งรายละเอียด (ตามประเภท) | ปานกลางถึงสูง (ตามความเสี่ยง) | น้ำผลไม้, ขนมขบเคี้ยว, อาหารกระป๋อง |
| ผลิตภัณฑ์สมุนไพร | ขึ้นทะเบียนตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร | สูงมาก (ตรวจสอบประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย) | ฟ้าทะลายโจรแคปซูล, ยาหม่องสมุนไพร |
| เครื่องมือแพทย์ | แจ้งรายการละเอียด/จดทะเบียน/อนุญาต (ตามความเสี่ยง) | สูง (ตรวจสอบมาตรฐาน, ประสิทธิภาพ) | หน้ากากอนามัย, เครื่องวัดความดัน |
ความเสี่ยงของการจำหน่ายสินค้าที่ไม่มี อย. : บทเรียนที่ต้องจำ
การจำหน่ายสินค้าที่ต้องมี อย. โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงร้ายแรงต่อธุรกิจของคุณ:
- บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง: มีตั้งแต่ค่าปรับจำนวนมหาศาล (หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท) การถูกยึดและทำลายสินค้า การถูกสั่งห้ามจำหน่าย หรือแม้กระทั่งโทษจำคุกในกรณีร้ายแรง นอกจากนี้ อย. ยังมีอำนาจสั่งปิดกิจการได้หากมีการกระทำผิดซ้ำ
- ความเสียหายต่อชื่อเสียงและแบรนด์: เมื่อข่าวการถูกจับกุมหรือการพบสินค้าอันตรายแพร่กระจาย ชื่อเสียงที่สร้างมาจะพังทลายลงทันที ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะหายไปอย่างสิ้นเชิงและยากที่จะกอบกู้กลับคืนมา
- การปิดกั้นโอกาสทางการตลาด: แพลตฟอร์มออนไลน์ ห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มักกำหนดให้สินค้าต้องมี อย. การไม่มีใบอนุญาตจะทำให้คุณไม่สามารถเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายเหล่านี้ รวมถึงการเข้าถึงตลาดต่างประเทศก็จะเป็นไปไม่ได้
- ความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค: ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารอันตราย ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือมีปริมาณสารสำคัญที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค หากเกิดอันตราย คุณอาจต้องเผชิญกับการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
ดังนั้น การขอ อย. จึงเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
ประโยชน์ของการได้รับ อย. ในการขยายธุรกิจ : สร้างโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด
เมื่อผลิตภัณฑ์ของคุณได้รับ อย. อย่างถูกต้อง คุณกำลังเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจมากมาย:
- สร้างความเชื่อมั่นสูงสุดแก่ผู้บริโภค: เครื่องหมาย อย. เป็นสัญลักษณ์แห่งความปลอดภัยและคุณภาพที่ผู้บริโภคชาวไทยรู้จักและไว้วางใจ การมี อย. บนฉลากช่วยสร้างความมั่นใจ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
- เปิดประตูสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่: ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ ล้วนมีข้อกำหนดให้สินค้าต้องมี อย. การมี อย. ทำให้คุณสามารถเข้าสู่ช่องทางเหล่านี้ เพิ่มการมองเห็น และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง
- เพิ่มโอกาสในการส่งออก: การมี อย. ของไทยแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการผลิตและความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขอใบอนุญาตส่งออกหรือการรับรองจากหน่วยงานอื่น ๆ ในต่างประเทศ
- สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง: แบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและมาตรฐานจะได้รับความเคารพและความภักดีจากลูกค้า การมี อย. ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพและมีความรับผิดชอบ
- ง่ายต่อการทำการตลาด: คุณสามารถใช้การรับรองจาก อย. เป็นจุดแข็งในการสื่อสารการตลาด เช่น “ปลอดภัย ได้มาตรฐาน อย.” ซึ่งจะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อความโฆษณาของคุณและทำให้ผู้บริโภคเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุปคือ อย. ไม่ใช่แค่ใบอนุญาต แต่เป็นกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจคุณ
ขั้นตอนและเอกสารสำคัญในการยื่นขอ อย.: ความซับซ้อนที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญ
กระบวนการขอ อย. เป็นเรื่องที่ละเอียด ซับซ้อน และต้องอาศัยความเข้าใจในกฎระเบียบและเอกสารจำนวนมาก นี่คือภาพรวมของขั้นตอนและสิ่งที่เกี่ยวข้อง:
- การตรวจสอบส่วนผสมและแหล่งที่มา: ส่วนผสมทุกชนิดต้องถูกกฎหมาย ไม่มีสารห้ามใช้ ต้องมีเอกสารรับรองแหล่งที่มา (Certificate of Origin) และใบรับรองคุณภาพ (Certificate of Analysis) ของวัตถุดิบ
- การกำหนดสูตรผลิตภัณฑ์: สูตรการผลิตต้องได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญและต้องมั่นใจว่าส่วนผสมทั้งหมดปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ต้องมีรายละเอียดสูตรการผลิตที่แม่นยำและเอกสารแสดงเหตุผลการใช้ส่วนผสม
- การออกแบบฉลากและบรรจุภัณฑ์: ฉลากสินค้าต้องมีข้อมูลครบถ้วน ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ข้อมูลจำเป็นบนฉลากได้แก่ ชื่อผลิตภัณฑ์ ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิต/ผู้นำเข้า เลขทะเบียน อย. วันที่ผลิต/หมดอายุ ส่วนประกอบสำคัญ วิธีใช้ และคำเตือน บรรจุภัณฑ์ต้องถูกสุขลักษณะและปลอดภัย
- การขออนุญาตสถานที่ผลิต/นำเข้า: โรงงานผลิตอาหาร อาหารเสริม หรือยา ต้องผ่านมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ใบอนุญาตผลิตอาหาร และใบรับรอง GMP
- การเตรียมเอกสารอื่น ๆ: เช่น สำเนาบัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน (บุคคลธรรมดา) หนังสือรับรองบริษัท (นิติบุคคล) เอกสารรับรองผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต (สินค้านำเข้า) และผลการวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์
- การยื่นคำขอและติดตามผล: เอกสารทั้งหมดต้องถูกจัดเตรียมอย่างเป็นระเบียบและยื่นผ่านระบบของ อย. (e-Submission) ผู้ประกอบการต้องติดตามและดำเนินการแก้ไขหากมีการเรียกเอกสารเพิ่มเติม
ด้วยความซับซ้อนของกฎระเบียบและการเตรียมเอกสาร การดำเนินการขอ อย. ด้วยตนเองโดยไม่มีประสบการณ์อาจนำไปสู่ความล่าช้าหรือการถูกปฏิเสธ การปรึกษาและใช้บริการผู้เชี่ยวชาญด้านการขอ อย. โดยตรง จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าการดำเนินการถูกต้อง รวดเร็ว ลดความผิดพลาด ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และได้รับคำแนะนำเชิงลึก ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อให้แบรนด์ของคุณเริ่มต้นได้อย่างถูกทางและยั่งยืน
สรุป: สินค้าอะไรบ้างที่ต้องมี อย. ก่อนเริ่มสร้างแบรนด์
โดยสรุปแล้ว การรู้ให้ชัดว่า “สินค้าอะไรบ้างที่ต้องมี อย.” คือจุดเริ่มต้นสำคัญของผู้ประกอบการทุกคน สินค้าหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง อาหารทั่วไป ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเครื่องมือแพทย์ ล้วนต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อย. และต้องผ่านกระบวนการขออนุญาตหรือจดแจ้งอย่างถูกต้อง
- หากเป็น อาหารเสริมและอาหารควบคุมเฉพาะ ต้องขึ้นทะเบียนและตรวจสอบสูตรอย่างละเอียด
- เครื่องสำอาง ต้องจดแจ้งและแจ้งส่วนผสมให้ถูกต้องตามกฎหมาย
- อาหารทั่วไป ต้องขออนุญาตผลิต/นำเข้าและปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย
- ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเครื่องมือแพทย์ ต้องผ่านการประเมินด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยในระดับที่เข้มงวด
เมื่อเข้าใจแล้วว่า สินค้าอะไรบ้างที่ต้องมี อย. คุณจะสามารถวางแผนการสร้างแบรนด์ได้อย่างเป็นระบบ เลือกประเภทสินค้าได้อย่างมั่นใจ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย และยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย
A: อย. หรือ “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” คือหน่วยงานที่ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เช่น อาหาร เครื่องสำอาง ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าปลอดภัยและมีมาตรฐานตามกฎหมาย
A: สินค้าที่ต้องขอ อย. ได้แก่ อาหารและอาหารเสริม เครื่องสำอาง ยา วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีกระบวนการขอต่างกัน
A: อาหารเสริมต้องขึ้นทะเบียนเป็น “อาหารที่มีการแสดงฉลากและส่วนผสม” ภายใต้หมวด “อาหารควบคุมเฉพาะ” โดยต้องยื่นสูตร ส่วนผสม และสถานที่ผลิตที่ได้รับ GMP จาก อย.
A: ต้องมีครับ หากเป็นสินค้าที่ “แปรรูปเพื่อจำหน่าย” หรือมีการผลิตในเชิงพาณิชย์ ต้องจดทะเบียน อย. ยกเว้นกรณีทำขายเล็ก ๆ ภายในครัวเรือนโดยไม่ได้ระบุสรรพคุณทางสุขภาพ
A: เครื่องสำอางไม่ต้อง “ขึ้นทะเบียน” แบบอาหารเสริม แต่ต้อง “จดแจ้ง” กับ อย. ก่อนจำหน่าย โดยแจ้งรายละเอียดส่วนผสม ฉลาก และชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
A: ใช่ค่ะ แต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ (เช่น อาหารเสริม, เครื่องสำอาง, อาหารทั่วไป) มีกฎเกณฑ์และกระบวนการขอ อย. ที่แตกต่างกัน รวมถึงเอกสารที่ต้องใช้ก็ไม่เหมือนกัน คุณต้องยื่นขออนุญาตแยกตามประเภทของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ครับ
A: ระยะเวลาในการขอ อย. ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ ความครบถ้วนของเอกสาร และความซับซ้อนของสูตรหรือส่วนผสมครับ โดยทั่วไป เครื่องสำอางใช้เวลา 1-7 วันทำการ อาหารทั่วไปประมาณ 7-15 วันทำการ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร/อาหารควบคุมเฉพาะอาจใช้เวลา 30-90 วันทำการ หรือมากกว่านั้น หากต้องมีการแก้ไขเอกสารหรือตรวจสอบเพิ่มเติม การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องตั้งแต่แรกจะช่วยลดระยะเวลาดำเนินการได้อย่างมากครับ
A: สามารถเลือกได้ทั้งสองทาง หากผลิตกับโรงงาน OEM ที่มีประสบการณ์ มักจะมีบริการยื่น อย. ให้ครบวงจร เพื่อความสะดวกและถูกต้องตามกฎหมาย
A: สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ของ อย. https://oryor.com/check-product-serial โดยกรอกเลขทะเบียน อย. หรือชื่อผลิตภัณฑ์ ระบบจะแสดงรายละเอียดครบถ้วน เช่น ชื่อผู้ผลิต วันอนุมัติ และสถานะปัจจุบัน
A: ต้องขอเช่นกันค่ะ ผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศต้องขึ้นทะเบียนหรือจดแจ้ง อย. ตามหมวดสินค้าก่อนวางจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อให้ผ่านด่านศุลกากรและตรวจสอบความปลอดภัย
หากสนใจอยากเริ่มต้นธุรกิจสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตัวเอง สามารถติดต่อสอบถามกับ iBio ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เราพร้อมดูแลคุณตั้งแต่เริ่มต้นให้คำปรึกษาจนจบกระบวนการ โทรเลย 02-713-8989 หรือดูรายละเอียดบริการรับผลิตอาหารเสริมของ iBio ได้ที่ รับผลิตอาหารเสริมแบบ OEM


