กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก ไม่เพียงเพราะรสชาติและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติในการกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัว อย่างไรก็ตาม ด้วยเทรนด์สุขภาพที่มาแรง ทำให้เกิดกาแฟทางเลือกมากมายที่ไม่ได้ให้แค่ความสดชื่น แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารหรือมีคุณสมบัติพิเศษที่ดีต่อสุขภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 10 อันดับกาแฟเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยม พร้อมเจาะลึกข้อดีข้อเสีย และแนะนำวิธีเลือกดื่มให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
ทำไมต้องดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพ?
กาแฟดำบริสุทธิ์นั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม กาแฟเพื่อสุขภาพถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเสริมคุณสมบัติเหล่านี้ หรือเพิ่มประโยชน์เฉพาะด้านอื่นๆ เช่น:
- เสริมสารอาหารที่จำเป็น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
- บำรุงผิวพรรณ เล็บ ผม
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ลดความเครียด
- ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย
การเลือกดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณ จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด โดยไม่ละทิ้งความสุขจากการดื่มกาแฟแก้วโปรด
10 อันดับกาแฟเพื่อสุขภาพยอดนิยม
1. กาแฟดำ (Black Coffee)

กาแฟดำคือรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด มีส่วนประกอบหลักคือกาแฟคั่วบดและน้ำ ไม่มีส่วนผสมของนม น้ำตาล หรือครีม ทำให้แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นรากฐานของกาแฟสุขภาพ
ข้อดี: แคลอรี่ต่ำมาก อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ เพิ่มพลังงานและความตื่นตัว ลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์
ข้อเสีย: คาเฟอีนสูง อาจทำให้ใจสั่น วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับในผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน มีฤทธิ์เป็นกรด อาจระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
2. กาแฟออร์แกนิก (Organic Coffee)

กาแฟออร์แกนิกคือ กาแฟที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยสังเคราะห์ ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณได้รับกาแฟที่สะอาด ปลอดสารพิษตกค้าง ช่วยลดการสัมผัสสารเคมีที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว การเลือกกาแฟออร์แกนิกยังสนับสนุนการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม.
ข้อดี: ลดความเสี่ยงในการได้รับสารเคมีตกค้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่ากาแฟทั่วไป หาซื้อได้ยากกว่าในบางพื้นที่
3. กาแฟดีแคฟ (Decaf Coffee)
กาแฟสกัดคาเฟอีน คือกาแฟที่มีการผ่านกระบวนการนำคาเฟอีนออกไปส่วนใหญ่ (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) เหมาะสำหรับสำหรับผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน หรือต้องการลดปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับในแต่ละวัน กาแฟดีแคฟเป็นทางเลือกที่ดี คุณยังคงได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟ แต่ลดผลข้างเคียงจากคาเฟอีน เช่น อาการใจสั่น หรือนอนไม่หลับ ควรเลือกดีแคฟที่สกัดคาเฟอีนด้วยวิธีธรรมชาติ
ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ช่วยลดอาการใจสั่น วิตกกังวลที่เกิดจากคาเฟอีน ยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่บ้าง
ข้อเสีย: คาเฟอีนไม่ได้ถูกกำจัดออกไปทั้งหมด (ยังมีเหลือปริมาณน้อย) รสชาติและกลิ่นอาจเปลี่ยนแปลงไปจากกาแฟปกติ กระบวนการดีคาเฟอีนบางวิธีอาจใช้สารเคมี
4. กาแฟผสมเห็ด (Mushroom Coffee)
กาแฟชนิดนี้คือการผสมผสานกาแฟเข้ากับสารสกัดจากเห็ดสมุนไพรต่างๆ เช่น เห็ดหลินจือ (Reishi), เห็ดแผงคอสิงโต (Lion’s Mane), เห็ดถั่งเช่า (Cordyceps) หรือเห็ดชาก้า (Chaga) มาผสมในกาแฟ ซึ่งเห็ดเหล่านี้มีสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกัน เช่น มีคุณสมบัติช่วยลดความเครียด เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงสมอง และเพิ่มพลังงาน โดยไม่ได้ทำให้รสชาติกาแฟเปลี่ยนไปมากนัก กาแฟเห็ดจึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์จากทั้งกาแฟและสมุนไพร
ข้อดี: ได้ประโยชน์จากสรรพคุณของเห็ด เช่น ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ลดความเครียด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังงาน (ขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ด) คาเฟอีนอาจลดลงเล็กน้อย
ข้อเสีย: รสชาติอาจแตกต่างจากกาแฟปกติ ราคาค่อนข้างสูง ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
5. กาแฟคอลลาเจน (Collagen Coffee)
กาแฟคอลลาเจนคือการเติมผงคอลลาเจนเปปไทด์ลงในกาแฟ ซึ่งคอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง ผม เล็บ และข้อต่อ การเสริมคอลลาเจนจึงช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย เสริมสร้างความแข็งแรงของเล็บและผม รวมถึงช่วยบำรุงข้อต่อ การเติมคอลลาเจนเปปไทด์ลงในกาแฟ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ง่าย โดยไม่ทำให้รสชาติหรือเนื้อสัมผัสของกาแฟเสียไป แต่ควรเลือกคอลลาเจนเปปไทด์ที่ละลายง่ายและไม่มีกลิ่นคาว
ข้อดี: ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ลดริ้วรอย บำรุงข้อต่อ เส้นผม และเล็บ สะดวกในการบริโภค
ข้อเสีย: คอลลาเจนอาจไม่ทนความร้อนสูงมาก การดูดซึมและประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับชนิดของคอลลาเจน ปริมาณที่ได้รับต่อวัน และการบริโภคอย่างสม่ำเสมอ รสชาติอาจมีกลิ่นคอลลาเจนเล็กน้อย
6. กาแฟผสม MCT Oil (Bulletproof Coffee)

กาแฟผสม MCT Oil หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Bulletproof Coffee” คือกาแฟดำที่ผสมไขมันดีจาก MCT Oil และเนยจืดที่มาจากสัตว์ที่เลี้ยงด้วยหญ้า หรือใช้น้ำมันมะพร้าวแทน เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ที่ทำคีโตไดเอท หรือ Intermittent Fasting (IF) เพราะ MCT Oil (Medium-Chain Triglycerides) เป็นไขมันดีที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะสมเป็นไขมันส่วนเกิน ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ และทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงมักจะมีการดื่มแทนอาหารเช้าในบางโปรแกรมของการทำ IF
ข้อดี: ให้พลังงานอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เพิ่มสมาธิและความอิ่มนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ทานคีโตเจนิค หรือผู้ที่ต้องการพลังงานในตอนเช้า
ข้อเสีย: แคลอรี่และไขมันสูงมาก หากไม่ปรับลดพลังงานจากแหล่งอื่นอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ MCT Oil บางคนอาจมีอาการท้องเสียหากทานมากเกินไป
7. กาแฟผสมโปรตีน (Protein Coffee)
กาแฟผสมโปรตีน คือกาแฟที่มีการผสมผงโปรตีน เช่น เวย์โปรตีน หรือโปรตีนจากพืช ลงไปในกาแฟ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาณโปรตีนในแต่ละวัน หรือดื่มหลังออกกำลังกาย สามารถทำได้โดยการเติมผงโปรตีน (เช่น เวย์โปรตีน โปรตีนจากพืช) ลงในกาแฟ ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เพิ่มความรู้สึกอิ่ม และช่วยควบคุมน้ำหนัก แต่มีข้อควรระวังในการเลือกผงโปรตีนที่ละลายง่ายและรสชาติเข้ากันได้ดีกับกาแฟ
ข้อดี: สะดวกในการเพิ่มปริมาณโปรตีนในแต่ละวัน ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ข้อเสีย: ผงโปรตีนบางชนิดอาจละลายได้ไม่ดีในกาแฟร้อน หรือทำให้รสชาติและเนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป ต้องเลือกชนิดของโปรตีนที่เหมาะกับการผสมในเครื่องดื่ม
8. กาแฟสกัดเย็น (Cold Brew Coffee)

กาแฟสกัดเย็น หรือกาแฟโคลด์บริว คือกาแฟที่ใช้กระบวนการชงที่แตกต่างออกไปจากการชงตามปกติ โดยการแช่กาแฟในน้ำเย็นเป็นเวลานาน ทำให้ได้กาแฟที่มีความเป็นกรดต่ำกว่ากาแฟร้อน มีรสชาตินุ่มนวล ดื่มง่ายกว่าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องกรดในกระเพาะอาหาร แม้คาเฟอีนอาจแตกต่างกันไปตามวิธีการชง แต่ก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ครบถ้วน
ข้อดี: รสชาตินุ่ม กลมกล่อม ไม่เปรี้ยบหรือขมจัด เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบรสฝาดหรือเปรี้ยวของกาแฟร้อน และยังมีความเป็นกรด (Acidity) ต่ำกว่ากาแฟร้อน จึงอ่อนโยนต่อระบบทางเดินอาหาร
ข้อเสีย: ใช้กาแฟปริมาณมากกว่าเมื่อเทียบกับกาแฟร้อนในการชง 1 ครั้ง และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12–24 ชั่วโมงในการสกัด จึงไม่เหมาะกับการชงเร่งด่วน นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเมล็ดกาแฟ เช่น เวลาชง หรืออุณหภูมิ อาจทำให้รสชาติแตกต่างชัดเจน
9. กาแฟผสมวิตามิน (Vitamin Coffee)
กาแฟผสมวิตามิน คือกาแฟที่มีการเติม สารอาหารจำเป็น เช่น วิตามิน หรือแร่ธาตุ ลงไปในสูตรกาแฟสำเร็จรูป เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ต่อร่างกายนอกเหนือจากการกระตุ้นด้วยคาเฟอีน โดยมักอยู่ในรูปแบบกาแฟพร้อมดื่ม (Ready-to-drink), ผงชง หรือแคปซูลกาแฟที่มีส่วนผสมฟังก์ชันเพิ่มเติม
ข้อดี: เป็นช่องทางในการได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพิ่มเติมในแต่ละวัน สะดวก
ข้อเสีย: วิตามินบางชนิดอาจไม่คงตัวในความร้อนของกาแฟ การดูดซึมอาจไม่ดีเท่าการได้รับจากอาหารโดยตรง ควรตรวจสอบชนิดและปริมาณวิตามินที่เสริม
10. สารสกัดจากเมล็ดกาแฟสีเขียว (Green Coffee Extract)

กาแฟสีเขียว คือ สารสกัดที่ได้จากเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ผ่านการคั่ว แม้ไม่ใช่กาแฟดื่มโดยตรง แต่สารสกัดจากเมล็ดกาแฟเขียวเป็นที่นิยมในรูปแบบอาหารเสริม มีคลอโรจีนิก แอซิดสูงกว่ากาแฟคั่ว ซึ่งช่วยเร่งการเผาผลาญและอาจช่วยลดน้ำหนัก มักถูกนำมาผสมในกาแฟสำเร็จรูปเพื่อสุขภาพบางชนิด หรือบริโภคในรูปแบบแคปซูล
ข้อดี: มีกรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) สูงกว่ากาแฟคั่ว ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการเผาผลาญไขมัน
ข้อเสีย: รสชาติแตกต่างจากกาแฟคั่ว อาจไม่ถูกปาก งานวิจัยเกี่ยวกับผลต่อสุขภาพในระยะยาวยังมีจำกัด
เคล็ดลับการเลือกกาแฟเพื่อสุขภาพให้เหมาะกับคุณ
การเลือกกาแฟเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของคุณ
- สำหรับผู้ที่ทำคีโต หรือ Intermittent Fasting:
ควรเลือก กาแฟดำ (Black Coffee) หรือ กาแฟผสม MCT Oil (Bulletproof Coffee) ที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและให้อิ่มนานโดยไม่หลุดคีโต - สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ:
ควรเลือก กาแฟคอลลาเจน (Collagen Coffee) ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนช่วยเสริมความยืดหยุ่นของผิวและลดริ้วรอย - สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงสมองและลดความเครียด:
ควรเลือก กาแฟผสมเห็ด (Mushroom Coffee) ที่มีส่วนผสมของ Lion’s Mane หรือเห็ดหลินจือ ช่วยเสริมสมาธิ ลดความเครียด และสนับสนุนการทำงานของสมอง - สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและโปรตีนเสริม:
ควรเลือก กาแฟผสมโปรตีน (Protein Coffee) ที่ให้ทั้งคาเฟอีนและโปรตีน เหมาะกับคนที่ออกกำลังกายหรือควบคุมมวลกล้ามเนื้อ - สำหรับผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหรือท้องอืดง่าย:
ควรเลือก กาแฟสกัดเย็น (Cold Brew Coffee) เพราะมีความเป็นกรดต่ำ ดื่มง่าย อ่อนโยนต่อกระเพาะ - สำหรับผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน:
ควรเลือก กาแฟดีแคฟ (Decaf Coffee) ที่ลดปริมาณคาเฟอีน แต่ยังได้รสชาติของกาแฟครบถ้วน - สำหรับผู้ที่ใส่ใจเรื่องสารเคมี สารตกค้าง:
ควรเลือก กาแฟออร์แกนิก (Organic Coffee) ที่ปลอดสารเคมี ปลูกแบบธรรมชาติ มีใบรับรองออร์แกนิก - สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินในชีวิตประจำวัน:
ควรเลือก กาแฟผสมวิตามิน (Vitamin Coffee) ที่เติมวิตามิน B, C, D และสารอาหารอื่น ๆ ลงในกาแฟแก้วโปรด - สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในเลือด:
ควรเลือก สารสกัดจากเมล็ดกาแฟสีเขียว (Green Coffee Extract) ที่มีกรดคลอโรเจนิกช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมัน - สำหรับผู้ที่ต้องการภูมิต้านทานแข็งแรง:
ควรเลือก กาแฟผสมเห็ด (เช่น เห็ดชากา, เห็ดหลินจือ) หรือกาแฟผสมวิตามินที่เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี หรือโพลีฟีนอลจากธรรมชาติ
การนำกาแฟเพื่อสุขภาพมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
การดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพควรเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่สมดุล ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนมื้ออาหารหลัก
- เวลาที่เหมาะสม: ดื่มในตอนเช้าเพื่อเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ หรือก่อนออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพลังงาน หลีกเลี่ยงการดื่มช่วงบ่ายแก่ๆ หรือเย็น หากคุณไวต่อคาเฟอีน
- ปริมาณที่พอเหมาะ: โดยทั่วไป แนะนำไม่เกิน 2-3 แก้วต่อวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละชนิด และการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล
- ดื่มน้ำตาม: กาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ควรดื่มน้ำเปล่าตามเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
- เลือกส่วนผสมที่ดี: หากทำเอง ให้เลือกใช้ส่วนผสมคุณภาพดี เช่น MCT Oil คุณภาพสูง หรือผงโปรตีนที่บริสุทธิ์
- สังเกตอาการ: หากมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ หรือปัญหาทางเดินอาหาร ควรลดปริมาณ หรือเปลี่ยนไปดื่มกาแฟชนิดอื่นที่มีคาเฟอีนต่ำกว่า
คำถามที่พบบ่อย
Q: กาแฟเพื่อสุขภาพสามารถดื่มแทนมื้ออาหารเช้าได้หรือไม่?
A: แม้กาแฟบางชนิด เช่น กาแฟผสม MCT Oil หรือกาแฟผสมโปรตีน จะช่วยให้รู้สึกอิ่ม แต่ก็ยังขาดสารอาหารครบถ้วนที่ร่างกายต้องการในมื้ออาหารหลัก ดังนั้น ไม่ควรใช้กาแฟเพื่อสุขภาพทดแทนมื้ออาหารอย่างถาวร ควรเน้นการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ควบคู่ไปกับการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพในปริมาณที่เหมาะสม
Q: กาแฟเพื่อสุขภาพทุกชนิดมีแคลอรี่ต่ำหรือไม่?
A: กาแฟดำบริสุทธิ์มีแคลอรี่ต่ำมาก แต่กาแฟที่ผสมส่วนผสมอื่นๆ เช่น MCT Oil, คอลลาเจน, ครีมเทียม (หากมี) หรือสารให้ความหวาน อาจมีแคลอรี่เพิ่มขึ้น ควรตรวจสอบข้อมูลโภชนาการบนฉลาก
Q: กาแฟเพื่อสุขภาพช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
A: กาแฟดำและกาแฟที่ผสม MCT Oil อาจช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักได้โดยการเพิ่มการเผาผลาญและทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ควรทำควบคู่กับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
Q: กาแฟเพื่อสุขภาพทุกชนิดมีแคลอรี่ต่ำหรือไม่?
A: กาแฟดำบริสุทธิ์มีแคลอรี่ต่ำมาก แต่กาแฟที่ผสมส่วนผสมอื่นๆ เช่น MCT Oil, คอลลาเจน, ครีมเทียม (หากมี) หรือสารให้ความหวาน อาจมีแคลอรี่เพิ่มขึ้น ควรตรวจสอบข้อมูลโภชนาการบนฉลาก
Q: ควรดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพปริมาณเท่าใดต่อวันจึงจะปลอดภัย?
A: ปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟและปริมาณคาเฟอีน รวมถึงการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล โดยทั่วไป การบริโภคคาเฟอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวันถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟดำประมาณ 4 แก้ว อย่างไรก็ตาม กาแฟผสมส่วนผสมอื่นๆ อาจมีคำแนะนำเพิ่มเติม ควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากไม่แน่ใจ
Q: ควรดื่มกาแฟคอลลาเจนเวลาไหนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด?
A: สามารถดื่มได้ตลอดวัน ส่วนใหญ่แนะนำให้ดื่มตอนท้องว่างในตอนเช้า หรือก่อนนอน แต่สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอในการบริโภค
Q: กาแฟสกัดเย็นดีต่อสุขภาพกว่ากาแฟร้อนจริงหรือ?
A: กาแฟสกัดเย็นมีความเป็นกรดต่ำกว่า ซึ่งอาจดีกว่าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อนหรือกระเพาะอาหาร แต่ในแง่สารต้านอนุมูลอิสระและประโยชน์พื้นฐานไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
หากสนใจอยากสร้างแบรนด์กาแฟของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกาแฟสำเร็จรูป กาแฟคอลลาเจน กาแฟสำหรับผู้หญิง กาแฟสำหรับผู้ชาย iBio พร้อมให้ความช่วยเหลือคุณ เพราะเราคือผู้มีประสบการณ์ด้านการผลิตกาแฟ พร้อมให้คำปรึกษาและบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การคิดค้นสูตร การผลิต ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย โทรเลย 027138989 หรือสามารถดูรายละเอียดได้ที่ รับผลิตกาแฟแบบครบวงจร