ทำไมคอลลาเจนถึงสำคัญ และเมื่ออายุมากขึ้นเราควรเสริมหรือไม่?
คอลลาเจนเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักที่พบได้ทั่วร่างกายของเรา ทำหน้าที่สำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อต่างๆ โดยเฉพาะผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เส้นผม และเล็บ คอลลาเจนเปรียบเสมือน ‘กาว’ ที่ยึดส่วนต่างๆ ของร่างกายไว้ด้วยกัน ทำให้ผิวดูเต่งตึง เรียบเนียน ข้อต่อเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ผมและเล็บแข็งแรงสุขภาพดี
อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกายจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีเป็นต้นไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสัญญาณแห่งวัยที่ปรากฏขึ้น เช่น ผิวเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ข้อต่อเริ่มมีเสียงหรือรู้สึกไม่สบายตัว ผมบางลง เล็บเปราะง่าย การลดลงของคอลลาเจนนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น แสงแดด มลภาวะ ความเครียด และการสูบบุหรี่ ก็สามารถเร่งให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้นเช่นกัน
การเสริมคอลลาเจนในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน การเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว ลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพข้อต่อ ลดอาการปวดหรือฝืดของข้อในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ใช้งานข้อหนัก และยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้เส้นผมและเล็บได้อีกด้วย
5 ยี่ห้อคอลลาเจนยอดนิยมในไทย ปี 2025 ที่น่าจับตามอง
ในปี 2025 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกสรร ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ การเลือกคอลลาเจนที่เหมาะสมอาจต้องพิจารณาจากชนิดของคอลลาเจน แหล่งที่มา รูปแบบการบริโภค และส่วนผสมอื่นๆ ที่เสริมเข้ามา เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น นี่คือ 5 ยี่ห้อคอลลาเจนยอดนิยมในประเทศไทยที่น่าสนใจในปี 2025:
1. Biovitt Collagen Complex

Biovitt Collagen Complex
เป็นคอลลาเจนผงที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนที่ชอบคอลลาเจนแบบเพียวๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นคาว ทำให้ผสมกับเครื่องดื่มอะไรก็ได้ง่ายมาก จุดเด่นคือการผสมวิตามินซีเข้ามาด้วย ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการช่วยสังเคราะห์คอลลาเจนในร่างกาย ทำให้การทานร่วมกันส่งเสริมประสิทธิภาพได้ดี เหมาะสำหรับคนที่เน้นความบริสุทธิ์และต้องการวิตามินซีเสริมไปพร้อมกัน
2. ime’ Collagen

ime’ Collagen
แบรนด์นี้เน้นคอลลาเจนที่มีโมเลกุลเล็กมาก คือทั้งแบบไตรเปปไทด์และเปปไทด์ ซึ่งกล่าวกันว่าช่วยให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้รวดเร็วกว่าคอลลาเจนโมเลกุลใหญ่ คอลลาเจนของ ime’ นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพของคอลลาเจน บางสูตรมีการเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิวโดยเฉพาะ เช่น เซราไมด์ หรือสารสกัดจากเบอร์รี่ต่างๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ด้านผิวพรรณที่รวดเร็วและชอบผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่น
3. DHC Collagen

DHC Collagen
เป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอลลาเจนจากญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน จุดเด่นคือมาในรูปแบบเม็ด ซึ่งสะดวกมากสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกชงดื่ม หรือเดินทางบ่อย คอลลาเจนของ DHC เป็นคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล เน้นในเรื่องของการช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความเรียบเนียน และความชุ่มชื้นให้กับผิว เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานแบบเม็ดและมั่นใจในแบรนด์จากญี่ปุ่น
4. Watsons Collagen

Watsons Collagen
ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนภายใต้แบรนด์ Watsons มีความหลากหลายทั้งชนิดและรูปแบบ มักจะมีทั้งคอลลาเจนเปปไทด์และไตรเปปไทด์ หรือบางสูตรอาจมีส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Q10, วิตามิน หรือสารสกัดจากธรรมชาติ จุดเด่นคือหาซื้อง่าย มีจำหน่ายในร้าน Watsons ทั่วไป และมักจะมีโปรโมชั่นที่ทำให้ราคาเข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากลองทานคอลลาเจน หรือมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในราคาที่จับต้องได้
5. VISTRA Marine Collagen Peptide 1300

VISTRA Marine Collagen Peptide 1300
VISTRA เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คนไทยรู้จักกันดี และมีความน่าเชื่อถือ VISTRA Marine Collagen Peptide 1300 เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่มาในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล ทำให้สะดวกในการทาน คอลลาเจนเป็นชนิดเปปไทด์จากปลาทะเล ในขนาด 1300 มก. ต่อเม็ด ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการเสริมในแต่ละวัน บางสูตรของ VISTRA คอลลาเจน อาจมีการผสมวิตามินอี หรือสารสกัดเมล็ดองุ่น ซึ่งช่วยเสริมฤทธิ์ในการบำรุงผิวพรรณ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคอลลาเจนแบบเม็ดจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ในประเทศ
ยี่ห้อ | จุดเด่น |
---|---|
Biovitt Collagen Plus Vitamin C | คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล ผสมวิตามินซี ช่วยเพิ่มการดูดซึม รูปแบบผง ชงง่าย ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น |
ime’ Collagen (อายเมะ คอลลาเจน) | คอลลาเจนไตรเปปไทด์และเปปไทด์จากปลาทะเล นำเข้าจากญี่ปุ่น เน้นโมเลกุลเล็ก ดูดซึมไว บางสูตรผสมเซราไมด์และสารต้านอนุมูลอิสระ |
DHC Collagen (ดีเอชซี คอลลาเจน) | คอลลาเจนเปปไทด์จากปลา รูปแบบเม็ด ทานง่าย แบรนด์จากญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมายาวนาน เน้นเรื่องความยืดหยุ่นของผิว |
Watsons Collagen (ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนภายใต้แบรนด์วัตสัน) | มีหลากหลายสูตรให้เลือก ทั้งเปปไทด์และไตรเปปไทด์ หลายแหล่งที่มา มักมีโปรโมชั่น ราคาเข้าถึงง่าย หาซื้อง่ายตามร้านวัตสัน |
VISTRA Marine Collagen Peptide 1300 | คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล รูปแบบเม็ดหรือแคปซูล ขนาด 1300 มก. ต่อเม็ด แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือในไทย มีส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิวร่วมด้วยในบางสูตร |
การเลือกคอลลาเจนยี่ห้อใด ควรพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งประเภทของคอลลาเจน (เปปไทด์ vs ไตรเปปไทด์) แหล่งที่มา ความบริสุทธิ์ ส่วนผสมอื่นๆ รูปแบบที่ชอบ (ผง, เม็ด, แคปซูล, น้ำ) งบประมาณ และเป้าหมายในการทาน เช่น เน้นผิว เน้นข้อต่อ หรือเน้นทั้งคู่ การอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานจริง และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรก็เป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจ
สรุปและข้อแนะนำในการเลือกคอลลาเจน
คอลลาเจนเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย แต่การผลิตจะลดลงตามวัย การเสริมคอลลาเจนจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการดูแลสุขภาพผิว ข้อต่อ ผม และเล็บ เมื่อเลือกซื้อคอลลาเจน ควรพิจารณาเลือกชนิด Hydrolyzed Collagen (คอลลาเจนไฮโดรไลซ์) หรือ Collagen Peptide (คอลลาเจนเปปไทด์) หรือดีที่สุดคือ Collagen Tripeptide (คอลลาเจนไตรเปปไทด์) ซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าคอลลาเจนชนิดอื่นๆ
นอกจากนี้ ให้ดูแหล่งที่มาของคอลลาเจน (เช่น จากปลาทะเล) และส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจเพิ่มเข้ามาเพื่อเสริมประสิทธิภาพ เช่น วิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิวหรือข้อต่อ อย่าลืมพิจารณารูปแบบที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นแบบผงชงดื่มที่ผสมได้หลากหลาย แบบเม็ดหรือแคปซูลที่พกพาง่าย หรือแบบน้ำพร้อมดื่มที่สะดวก รวดเร็ว
สุดท้ายแล้ว คอลลาเจนยี่ห้อไหนดีที่สุดในปี 2025 อาจขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล งบประมาณ และผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง ลองศึกษาข้อมูลของแต่ละแบรนด์ อ่านรีวิว และเลือกที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด การทานคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการดูแลสุขภาพโดยรวม ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนที่เพียงพอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยทำลายคอลลาเจน จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีและชะลอสัญญาณแห่งวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอลลาเจน
Q: ควรรับประทานคอลลาเจนเท่าไหร่ต่อวัน?
A: โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใหญ่ควรรับประทานคอลลาเจนในปริมาณ 5,000 – 7,000 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน การรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
Q: ควรทานคอลลาเจนเวลาไหนดีที่สุด?
A: ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรับประทานคอลลาเจนคือ ตอนท้องว่าง ทั้งในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดีที่สุด นอกจากนี้ การรับประทานคอลลาเจนพร้อมกับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมอีกด้วย
Q: ต้องรับประทานคอลลาเจนนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
A: ระยะเวลาในการเห็นผลขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและความสม่ำเสมอในการรับประทาน โดยทั่วไปแล้ว อาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยได้ภายใน 4-8 สัปดาห์ สำหรับผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องผิวพรรณ ข้อต่อ และอื่นๆ อาจต้องใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ขึ้นไป การรับประทานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเสริมคอลลาเจน
Q: ใครที่ไม่ควรรับประทานคอลลาเจน?
A: ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานคอลลาเจน ได้แก่:
- คุณแม่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล (หากคอลลาเจนมาจากแหล่งทะเล)
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ไก่หรือไข่ (หากคอลลาเจนมาจากแหล่งสัตว์ปีก)
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารสกัดบางชนิดในผลิตภัณฑ์คอลลาเจน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (SLE), โรคพังผืดกดทับเส้นประสาท, โรคไวรัสตับอักเสบ
หากสนใจอยากเริ่มต้นธุรกิจสร้างแบรนด์คอลลาเจนหรืออาหารเสริมอื่นๆ ของตัวเอง สามารถติดต่อสอบถามกับ iBio ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เราพร้อมดูแลคุณตั้งแต่เริ่มต้นให้คำปรึกษาจนจบกระบวนการ โทรเลย 02-713-8989 หรือดูรายละเอียดบริการรับผลิตคอลลาเจนของ iBio ได้ที่ รับผลิตคอลลาเจนพร้อมสร้างแบรนด์ครบวงจร